ถ้าคุณเป็นนักวิจารณ์ หนัง หรือศิลปินนักคิด ที่ชื่นชอบและซีเรียสกับความเนียนละเอียดอ่อนในการเล่าเรื่อง คิดอะไรก็ให้สื่อด้วยสายตาและภาษาหนัง ไม่ใช่พูดแถลงเป็นดุ้นออกมาจากปากตัวละครกันทื่อๆ คุณก็อาจจะไม่ชอบ “อโกรา” เท่าไหร่นัก จนอาจให้คะแนนมะเขือเทศเน่าไปหลายลูก แต่สำหรับคนทั่วไป ดูหนังเรื่องนี้แล้ว รับประกันว่าโดน
“อโกรา” เป็นหนังที่เกิดขึ้นในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์คริสต์ศตวรรษที่ 4-5 ในสมัยที่ถูกปกครองโดยจักรวรรดิโรมัน และชุมชนชาวคริสต์กำลังขยายตัว ความเชื่อหลายชุดกำลังปะทะกันจนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ได้แก่ ฝ่ายอำนาจเก่า ฝ่ายคริสต์ และแนวคิดปรัชญาสายกรีกโบราณที่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้เชิงตรรกะและเหตุผลมา จากกลุ่ม “โรงเรียนเอเธนส์” ที่มีนักปรัชญาโซคราตีส เพลโต้ และอริสโตเติ้ลเป็นผู้สร้างฐานไว้เมื่อราว 300-400 ปีก่อนคริสตกาล
คำว่า “อโกรา” (Agora) ชื่อของหนัง เป็นภาษากรีก แปลว่าพื้นที่เปิดโล่งที่ใช้เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และบางครั้งก็ใช้เป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าด้วย ตรงกับคำว่า “ฟอรั่ม” (Forum) ในภาษาโรมัน ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี
เรื่องดำเนินผ่านชีวิต ของตัวละครเอก นักคณิตศาสตร์/ดาราศาสตร์/ปรัชญาหญิงผู้โด่งดังชาวอเล็กซานเดรียเชื้อสายกรี กนามไฮเพเทีย (Hypatia) ผลงานของเธอในปัจจุบันหลงเหลืออยู่น้อยมาก แต่ลือกันว่าการศึกษาเส้นโค้งของเธออาจนำไปสู่ความเข้าใจว่าโลกโคจรรอบดวง อาทิตย์ก่อน Johannes Kepler จะค้นพบในคริสตศตวรรษที่ 17 เสียอีก
พ่อของไฮเพเทียเป็นนัก คณิตศาสตร์มีชื่อแห่งยุค เป็นชนชั้นนำหัวก้าวหน้าที่สนับสนุนความใฝ่รู้ของลูกสาว ส่งให้ไปเรียนต่อถึงกรุงเอเธนส์และอิตาลี ก่อนจะกลับบ้านมาสอนปรัชญาและดาราศาสตร์ และดูแลหอสมุดแห่งกรุงอเล็กซานเดรีย ศูนย์รวบรวมตำราความรู้แห่งยุคโบราณ ไฮเพเทียเป็นอาจารย์สอนชนชั้นนำจำนวนมาก ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาเล่าเรียนกับเธอโดยเฉพาะ เธอเป็นที่เคารพนับถือของปัญญาชนหลายศาสนา รวมทั้งชาวคริสต์เองด้วย แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่เชื่อในศาสนาลัทธิใดก็ตาม และมุ่งค้นคว้าหาความจริงด้วยการตั้งคำถามและการทดลองตลอดชีวิตของเธอ
ไฮเพเทียได้ชื่อว่า เป็นคนอารมณ์นิ่ง ง่ายๆ สบายๆ มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่หวั่นไหว ไม่กลัวใครแต่ไม่ก้าวร้าว พลังสติปัญญาของเธอทำให้ไฮเพเทียมีอิทธิพลต่อชนชั้นปกครองที่เคยเป็นลูก ศิษย์ของเธอ รวมถึงโอเรสตีส (Orestes) ผู้ซึ่งต่อมาเติบโตขึ้นเป็นเจ้าเมืองกรุงอเล็กซานเดรีย และยอมเข้ารีตศาสนาคริสต์ตามกระแสการเมือง เมื่อพลังอำนาจของฝ่ายคริสต์ได้ชัยชนะเหนือฝ่ายอำนาจเก่าด้วยจำนวนคนที่ มากกว่า
พลังของฝ่ายคริสต์ ในเบื้องต้นมาจากกลุ่มคนจนและทาส ซึ่งอำนาจเก่าไม่เคยเอาใจใส่มาก่อน พอขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง ก็มุ่งส่งเสริมความเชื่อของตน ทำลายหอสมุด ตำราเรียน และศิลปะที่เกิดจากอารยธรรมเดิม
ต่อมาเมื่อกลุ่มยิวใน กรุงอเล็กซานเดรียเป็นปึกแผ่นมากขึ้น คริสต์กับยิวก็ซัดกัน เกิดเหตุปะทะรุนแรงเป็นประจำ สร้างความยากลำบากในการปกครอง จนโอเรสตีสผู้เป็นเจ้าเมือง เกิดความความขัดแย้งกับซีรีล (Cyril) เจ้าคณะบาทหลวงบ้าอำนาจฝ่ายคริสต์ ทางซีรีลและพรรคพวกหัวรุนแรงมองว่าผู้อยู่เบื้องหลังความหัวแข็งของโอเรสตี สคือไฮเพเทีย จึงกล่าวหาว่าไฮเพเทียเป็นแม่มดนอกรีต และรุมฆ่าไฮเพเทียในที่สุด
ประวัติ ศาสตร์ตะวันตกถือว่าไฮเพเทียเป็น “แม่มด” คนแรกที่ถูกคริสตจักรไล่ฆ่า เป็นบทสุดท้ายของอารยธรรมกรีก-โรมันกับปรัชญายุคคลาสสิค และบทเริ่มต้นของยุคกลางที่มักเรียกกันว่ายุคมืด
ฉากจุดจบของไฮเพเทียใน หนังแต่งบทให้ทาสเก่าที่หลงรักเธอเป็นคนฆ่าเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงการประชาทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมของฝ่ายซีรีล แต่ตำราประวัติศาสตร์บางฉบับเล่าว่า ไฮเพเทียถูกกลุ่มลูกน้องของซีรีลฉุดกระชากลงจากรถม้า ฉีกเสื้อผ้าเธอออกและลากร่างเปลือยของเธอไปตามพื้นถนนจนถึงวัด ก็เอาเศษกระเบื้องแตกและเปลือกหอยมารุมแถหนังเธอ แล้วหั่นร่างเธอเป็นชิ้นๆ ก่อนจุดไฟเผา บางตำราก็บอกว่ารุมแถเนื้อหนังเธอ แล้วเผาเธอทั้งเป็น
ส่วนตำราที่เขียนโดย นักประวัติศาสตร์คริสตออธอด็อกซ์ บอกว่าซีรีล (ผู้ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญ) ไม่ได้รู้เห็นกับการกระทำของลูกน้องตัวเอง
สรุปเข้าข่าย “ไม่ใช่มติแกนนำ”
ดูๆ ไปก็หลอนๆ งงๆ ไม่รู้ว่าดูหนังอยู่ หรือดูข่าวเมืองบางกอกแห่งไทยแลนด์ เพราะนอกจากตัวเรื่องแล้ว ยังมีฉากฝูงชนใช้มือตบไม้เขย่าปัปๆ แทนตบมือด้วยแหละ
หนัง เรื่อง “อโกรา” ทำจากมุมมองของไฮเพเทีย จึงอาจไม่ค่อยยุติธรรมต่อฝ่ายคริสต์นัก เพราะไม่ค่อยได้นำเสนอเบื้องหลังการเติบโตของศาสนาคริสต์ที่ใส่ใจคนยากไร้ เท่าไหร่นัก แต่ในความเห็นของผู้เขียน จุดแข็งสุดของหนังเรื่องนี้คือการพาเราเดินทางร่วมไปกับความคิดของไฮเพเทีย ถ่ายทอดให้เห็นกระบวนการค้นคว้าหาคำตอบของเธอ ซึ่งไม่มีความเป็นปราชญ์หัวสูงดัดจริตอะไรเลย เธอคิดด้วยจิตวิญญานควบคู่ไปกับพลังของเหตุผล ใช้การทดลองง่ายๆ ไขปริศนาทีละเปลาะ เพื่อไตร่ตรองข้อโต้แย้งหรือแนวคิดจากทาส จากปัญญาชน หรือลูกศิษย์ชาวคริสต์ ซึ่งเธอรับฟังอย่างเท่าเทียมกัน
ผู้สร้างหนังยังใช้มุม มองกูเกิ้ลเอิร์ธเข้ามาซ้อนอีกชั้นหนึ่ง โดยซูมจากฟ้าเข้าสู่โลกตอนเปิดเรื่อง และถอยกลับสู่ห้วงอวกาศในตอนจบ ผู้ท่องเน็ตนิรนามคนหนึ่งกล่าวว่า เป็นการเชื้อเชิญให้พิจารณาดาวเคราะห์ใบนี้ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ – สัตว์โลกผู้มีความประเสริฐในจิตสำนึก ตระหนักรู้ในศักดิ์ศรีและสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ชดเชยความไร้สมรรถภาพในการเกลี้ยกล่อมผู้อื่นให้คิดเหมือนตนด้วยการบีบ บังคับและความรุนแรง
ก่อนตาย ไฮเพเทียพูดกับลูกศิษย์ชาวคริสต์ของเธอ ถึงเหตุผลที่เธอไม่อาจยินยอมเข้ารีตคริสต์เพื่อความปลอดภัยของตนเองว่า “ไซเนซิอุส เธอไม่ตั้งคำถามกับสิ่งที่เธอเชื่อ หรือเธอไม่อาจตั้งได้ แต่ฉันต้อง”
ชุบชีวิ ตไฮเพเทียกันเถิดเมืองไทย
กรุงเทพธุรกิจ: โลกในมือคุณ, 6 พฤษภาคม 53
โดย Oy Kanjanavanit
ที่มา : http://tinyurl.com/2dbtry5
http://starrynightsociety.blogspot.com/2010/06/blog-post.html